Header Ads

กาญจนบุรี เที่ยวได้เที่ยวดี ทริปกาญจนบุรี อีกกี่ครั้ง ก็เที่ยวได้

กาญจนบุรี เที่ยวได้เที่ยวดี
ทริปกาญจนบุรี อีกกี่ครั้ง ก็เที่ยวได้

          ตั้งแต่เด็ก มาถึงปัจจุบัน ขอยืนยันว่าเที่ยวกาญจนบุรี อีกกี่ครั้ง ก็เที่ยวได้ เพราะเป็นจังหวัดหนึ่งในประเทศไทยที่มีแหล่งท่องเที่ยวมากมาย และมีประวัติความเป็นมาของแต่ละสถานที่ที่น่าสนใจไม่แพ้เมืองหลักเลยทีเดียว เมื่อเร็ว ๆ นี้ “ชมรมส่งเสริมการท่องเที่ยว” นำโดย คุณเพลินพรรณ สุจริตกุล ที่ปรึกษาอาวุโส นำสมาชิกสื่อมวลชนส่งเสริมการท่องเที่ยวจากส่วนกลางร่วมเดินทางสำรวจแหล่งท่องเที่ยว และกิจกรรมส่งเสริมการท่องเที่ยวในพื้นที่จังหวัดกาญจนบุรี เขตอำเภอเมือง และอำเภอทองผาภูมิ ทั้งนี้ ได้รับความร่วมมือจากภาคเอกชน และการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย​ สำนักงาน​ กาญจนบุรี




เริ่มโปรแกรมแรกด้วยการพาชมต้นก้ามปูยักษ์ หรือเรียกเป็นทางการว่าต้น “จามจุรี” เมื่อไปถึงมองแต่ไกลก็ต้องตะลึงกับความสูง ใหญ่ เด่น เป็นสง่าเป็นที่น่าสะพรึง ดูเหมือนจะเป็นคำที่หมายถึงความน่ากลัว แต่เปล่าครับ เรากำลังหมายถึงความตระการตา ที่ทั้งลำต้นได้แผ่กิ่งก้านสาขาไปทุกองศา ผมไม่ได้มาครั้งนี้เป็นครั้งแรก แต่ก็ยังแปลกตาในทุก ๆ ครั้งที่ได้เจอ ด้วยอายุของต้นจามจุรีนี้มีมากว่า 100 ปี เป็นอีกหนึ่งจุดเช็คอินที่ไม่ควรพลาดกับความยิ่งใหญ่ในตำบล เกาะสำโรง และที่เห็นภาพเดิม ๆ คือ ใครที่มาเป็นหมู่คณะ ก็ต้องมายืนรายล้อมโอบด้วยแขนรวมแล้วมากกว่า 10 คนอย่างแน่นอน (ขนาดค่อยว่ากัน)




แวะชมสกายวอล์ค ที่นักท่องเที่ยวหลายคนมากาญจนบุรีทั้งที ต้องขึ้นมาชมวิวมุมสูงบน “สกายวอล์ค” ตั้งอยู่บนจุดตัดของแม่น้ำแควน้อย แควใหญ่ ที่ไหลมาบรรจบกัน และเป็นต้นน้ำของ “แม่น้ำแม่กลอง” มองออกไปไกล ๆที่เห็น คือ “หอประวัติสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปรินายก ซึงเป็นบุคคลสำคัญของจังหวัดกาญจนบุรี





เดินทางต่อไปที่ อำเภอทองผาภูมิ แวะชมน้ำตกสะพานลาว พักชมความงามตามธรรมชาติ ดูน้ำตกใส ขาว สะอาด ตั้งอยู่ด้านหลังวัดสะพานลาว เดินเท้าเข้าไปประมาณ 150 เมตรยังไม่ถึงกับเหนื่อย ลักษณะบริเวณน้ำตกเป็นหินปูน ตั้งอยู่ในพื้นที่อุทยานแห่งชาติเขื่อนศรีนครินทร์ ต.สหกรณ์นิคม อ.ทองผาภูมิ น้ำตกที่ไหลลงมานี้ มาจากป่าดิบแล้งในอุทยานฯ รวมตัวกันเป็นลำธารด้วยความสูงเพียง 2.5 เมตร ไหลลงเป็นแนวสโลปโค้งยาวราว 10 เมตร ลงสู่แอ่งเบื้องล่างและไหลต่อเป็นลำธารสู่ป่าที่อยู่ห่างออกไป ผ่านหมู่บ้าน ชุมชนในละแวกนั้นได้ใช้ประโยชน์กันถ้วนทั่ว พวกเราได้ถ่ายภาพเก็บเป็นที่ระลึกและนำมาฝากสู่สายตาผู้ชมในเว็บไซต์นี้โดยทั่วถึงกันอย่างตามเคย





มาถึงแหล่งท่องเที่ยวที่เป็นจุดเช็คอินอีกหนึ่งแห่ง “เนินสวรรค์”  ตั้งอยู่ในหน่วยพิทักษ์อุทยานแห่งชาติที่ ศร.11(เนินสวรรค์) ณ จุดชมวิวแห่งนี้ มีทัศนียภาพที่งดงาม มองผ่านด้วยสายตาแบบพานอรามา รอบข้างมีทั้งไม้ยืนต้นและไม้ดอกออกแซมให้ได้ถ่ายรูปชื่นชมความงามโดยมีตัวเราเป็นบุคคลขั้นกลาง (ซะงั้น) ชมสีสันความงามบนชายเขา มองออกไปสุดลูกหูลูกตาเห็นพื้นที่รอบอุทยานฯ และแนวขอบฟ้าที่ปกคลุมพื้นที่อย่างอบอุ่น บางครั้งจะมีลมพัดโชยให้หายเหนื่อยเป็นระยะ บรรยากาศแห่งนี้สามารถดึงดูดให้เราและคณะได้นั่งชมวิวและคลุกคลีกับธรรมชาติจนเพลิน ปล่อยให้เวลาล่วงเลยไปโดยไม่รู้ตัว

 
แวะมาเยี่ยมชม “โรงงานกระดาษไทยกาญจนบุรี” สถานที่แห่งนี้เคยเป็นโรงงานกระดาษใหญ่ แห่งที่ 2 ของประเทศไทย ที่สร้างขึ้นในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 เปิดดำเนินการเมื่อปี พ.ศ. 2484 (ในช่วงรัชสมัยของรัชกาลที่ 8) เห็นได้ชัดจากรูปแบบสถาปัตยกรรมที่ได้รับอิทธิพลจากชาติตะวันตก ศิลปะแบบโมเดิร์น ดูโดดเด่น แข็งแรง ทันสมัย บ่งบอกได้ถึงสัญลักษณ์การเปลี่ยนแปลงทางสังคมจากเกษตรกรรมเป็นอุตสาหกรรมของกาญจนบุรี ตั้งอยู่ภายในชุมชนที่มีเรื่องราวมากมายของจังหวัดกาญจนบุรีในสมัยนั้น


เดิมทีโรงงานกระดาษแห่งนี้อยู่ภายใต้สังกัดกระทรวงกลาโหม ดังปรากฏได้เห็นเป็นหลักฐานบนซุ้มประตูทางเข้า เป็นตราสัญลักษณ์ของกระทรวงกลาโหม 
พื้นที่ภายในโรงงาน กว้างขวาง การวางผังสิ่งปลูกสร้างดูเรียงรายเป็นแนวแถวเว้นระยะห่างอย่างพอดี แต่ละอาคารแยกการทำงานเป็นสัดส่วนและแยกประเภทอย่างลงตัว เช่น อาคารโรงงาน อาคารกองทำเยื่อ อาคารโรงคลอรีน และอาคารประกอบ เช่นบ้านพักพนักงานและสโมสร อีกฝั่งฟากจะเป็นลานสนามหญ้ากว้างใหญ่ยังดูเขียวสดเพราะยังได้รับการดูแลเป็นอย่างดีเสมอมา


ปัจจุบัน แม้เวลาจะล่วงเลยมากว่า 80 ปี แต่ด้วยสิ่งปลูกสร้างที่เป็นคอนกรีตเสริมเหล็กดูมั่นคง พอให้เราได้เห็นถึงความรุ่งเรืองทางอารยสถาปัตย์ในอดีตที่ยังตกทอดมาสู่สายตาแก่คนรุ่นหลัง มีเพียงความว่างเปล่าของกิจการภายในที่ได้หยุดดำเนินการไปแล้ว เครื่องจักรที่นำเข้าจากต่างประเทศ ความนำสมัยในครั้งก่อน ยังตั้งอยู่ให้เห็นภายในบางอาคารเป็นหลักฐานชิ้นสำคัญ... ต่อจากนั้น​เราไปที่เหมืองปิล็อก




เที่ยวน้ำตก “จ๊อกกระดิ่น”  เดินทางต่อไปที่น้ำตก “จ๊อกกระดิ่น”  ซึ่งอยู่ห่างจากบ้านอีต่องไปประมาณ 3 กิโลเมตร ข้างทางมีป้ายบอกเป็นระยะ ให้เลี้ยวซ้าย เลี้ยวขวา จนถึงที่หมาย คำว่า จ๊อกกระดิ่น เพี้ยนมาจากภาษาพม่า จากเดิมคือ “ก๊อกกระด่าน”  จ๊อก หรือ ก๊อก หมายถึง หิน ส่วนคำว่า กระดิ่น หรือ กระด่าน หมายถึง “น้ำตก” จึงมีความหมายรวมกันว่า “น้ำตกไหลผ่านซอกหินผา” มีแหล่งกำเนิดเป็นน้ำที่ผุดขึ้นจากภูเขาอีปู่ ตั้งอยู่ในพื้นที่เหมืองทังสเตน ไหลผ่านหมู่บ้าน ความสูงของน้ำตกประมาณ 34 เมตร พื้นที่ของน้ำตกอยู่สูงจากระดับน้ำทะเลปานกลาง 727 เมตร มีความยาว 3 กิโลเมตร ว่ากันว่า ใครได้มาอาบ มาเล่นที่น้ำตกแห่งนี้เหมือนกับได้อาบน้ำแร่กลับไป


จากปากทางเดินเข้าไปยังน้ำตก “จ๊อกกระดิ่น” 350 เมตร ไม่ไกลเท่าไหร่ มีเดินขึ้นลงสลับเนินเล็กน้อย มีสะพานไม้ให้เดินข้ามลำธาร เมื่อเดินไปถึงน้ำตก จะเห็นน้ำตกไหลจากที่สูงลงสู่เบื้องล่างเป็นแอ่งกว้างพอประมาณ ทำให้เห็นถึงความใสสะอาดของน้ำตกจากธรรมชาติให้คลายร้อนลงบ้างจากการเดินทาง

น้ำตกแห่งนี้เมื่อไหลลงสู่แอ่งในเบื้องล่าง จะไหลไปรวมกันออกสู่ลำธารไปตามป่า และลงสู่แควน้อยต่อไป นักท่องเที่ยวที่มาน้ำตก “จ๊อกกระดิ่น” ส่วนใหญ่มาจากการเดินทางต่อเนื่องออกมาจากบ้านอีต่อง น้ำตกแห่งนี้อยู่ในพื้นที่อุทยานแห่งชาติทองผาภูมิ และเป็นจุดเช็คอินอีกจุดหนึ่งบนเส้นทาง ปิล็อก – ทองผาภูมิ




เดินทางต่อมา ไม่ไกลกันนัก ก็ถึงจุดชมวิวของอุทยานแห่งชาติทองผาภูมิ ที่มีจุดชมวิวให้ดูอยู่ 3 จุด คือ เนินกุดดอย เนินช้างเผือก และเนินช้างพลาย ซึ่งอยู่ไม่ห่างกันในแต่ละจุด ของอุทยานฯ ซึ่งทางอุทยานได้จัดพื้นที่เป็นชานยื่นออกไปเพียงเล็กน้อย ให้ได้ยืนถ่ายรูป ชมวิวกันตามอัธยาศัย ได้มองเห็นทะเลหมอกที่แผ่รายล้อมอยู่เบื้องหน้า ภายในอุทยานปกคลุมด้วยต้นไม้ใหญ่ให้ร่มคลึ้มปกคลุมผืนป่าดูธรรมชาติที่ยังมีให้เห็นอยู่


ต่อจากนั้น มาแวะชมเขื่อนวชิราลงกรณ ชมท้องน้ำอันกว้างใหญ่ของเขื่อนที่เก็บกักน้ำไว้ได้มากถึง 8,860 ล้านลูกบาศก์เมตร  และเพื่อใช้เป็นประโยชน์ต่อสาธารณะได้อย่างมากมาย ทั้งด้านอุปโภคบริโภค ช่วยผลักดันน้ำเค็ม-ไล่น้ำเสีย ช่วยให้ชาวบ้านในบริเวณนั้นได้ใช้ประโยชน์ทางชลประทานและการเกษตร การประมง ด้านบรรเทาอุทกภัยรองรับน้ำจากแควน้อยและแควใหญ่ในช่วงฤดูฝนที่ไหลหลากลงสู่แม่น้ำแม่กลองจนล้นตลิ่ง ซึ่งเขื่อนวชิราลงกรณ จะช่วยกักเก็บปริมาณน้ำทั้งหมดนี้เพื่อการบรรเทาได้อย่างถาวร

เขื่อนวชิราลงกรณ  เป็นเขื่อนเอนกประสงค์ อยู่ในความดูแลของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ทั้งนี้ เพื่อนำแรงดันของน้ำในเขื่อนที่ปล่อยสู่ลำน้ำแควน้อยให้ผ่านกังหันเทอร์ไบน์ เพื่อผลิตกระแสไฟฟ้าให้ประเทศไทย
รอบ ๆ บริเวณ จะมีทิวทัศน์ที่สวยงาม เป็นอีกแหล่งท่องเที่ยวของจังหวัดกาญจนบุรีที่นักท่องเที่ยวไม่ควรพลาด สามารถล่องเรือชมทัศนียภาพของทะเลสาบเหนือเขื่อน สลับกับทิวเขาน้อยใหญ่ที่ตั้งเรียงรายสลับกัน พร้อมกับมีจุดเดินบนสกายวอล์คอันทันสมัยให้เดินชมวิวและถ่ายรูปได้อย่างสวยสดงดงาม


ก่อนกลับ แวะบ่อน้ำพุร้อน “ลิ่นถิ่น”  ที่เป็นบ่อน้ำพุร้อนผุดขึ้นตรงชายตลิ่ง แม่น้ำแควน้อย หมู่ 6 ตำบลลิ่นถิ่น อำเภอทองผาภูมิ กาญจนบุรี บ่อตรงชายตลิ่งแห่งนี้ ลึกประมาณ 12 เมตร มีน้ำพุร้อนผุดขึ้นตลอด ด้วยอุณหภูมิ 58 องศาเซลเซียส




นายพันธ์ทิพย์ นวลไทย นายกเทศมนตรี เป็นผู้ดูแลบ่อน้ำพุร้อนแห่งนี้ ซึ่งปัจจุบันได้ดึงเอาน้ำร้อนจากน้ำพุ มาผสมกับน้ำประปาสะอาด จัดทำเป็น บ่อแช่เท้า ที่มีอุณหภูมิ 40 องศาเซลเซียส แยกเป็นบ่อผู้ใหญ่ และบ่อเด็ก

นอกจากนี้ได้มีการปรับภูมิทัศน์โดยรอบให้มีความสวยงาม ร่มรื่น สะอาด เป็นระเบียบเรียบร้อย นักท่องเที่ยวที่มาสามารถใช้บริการอาบน้ำร้อนได้ โดยคิดค่าบริการท่านละ 20 บาทเท่านั้น น้ำพุร้อนที่นี่ไม่มีกลิ่นกำมะถัน ใสสะอาด เหมาะมากที่จะลงแช่ อาบเพื่อสุขภาพ

สำหรับการเดินทางในทริปนี้ ใช้เวลา 3 วัน 2 คืน ไม่มากไม่น้อยจนเกินไป นักท่องเที่ยวสามารถปรับเปลี่ยนโปรแกรมเลือกตามความเหมาะสม และความสะดวกสบายของผู้เดินทางได้ เพราะนี่เป็นเพียงทริปการเดินทางเพื่อสำรวจแหล่งท่องเที่ยวของ “ชมรมสื่อมวลชนส่งเสริมการท่องเที่ยว” ที่ต้องการนำข้อมูลแหล่งท่องเที่ยวดี ๆ มาประชาสัมพันธ์ให้ผู้อ่าน และนักท่องเที่ยวได้รับรู้ เป็นเพียงข้อมูลพื้นฐานที่นักท่องเที่ยวสามารถนำไปประกอบการตัดสินใจเลือกแหล่งท่องเที่ยวในจังหวัด..กาญจนบุรี

#​เที่ยว​กาญจนบุรี​

#​การ​ท่องเที่ยว​แห่ง​ประเทศไทย​ สำนักงาน​กาญจนบุรี

#​ชมรม​สื่อมวลชน​ส่งเสริม​การ​ท่องเที่ยว

#​ขอบคุณ​ข้อมูล​ดีดีจาก​ คุณ​ทวี​ศักดิ์​ เกษปทุม​

#​www.kaomaadoo.net

CHATCHAI​ DAENGKASEM

0830760579​

ไม่มีความคิดเห็น

ขับเคลื่อนโดย Blogger.